บทบาทของบรรจุภัณฑ์
บทบาทของบรรจุภัณฑ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เป็นเพียงภาชนะบรรจุที่ไม่มีบทบาทอะไร กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สามารถสร้างข้อมูลได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ขับเคลื่อนโดยการผสมผสานระหว่างบรรจุภัณฑ์และเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Internet of Things (IoT), RFID และ AI ซึ่งช่วยเชื่อมโยบสินค้าแต่ละชิ้นเข้ากับเครือข่ายโลจิสติกส์ทั่วโลก ตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตจนมีมูลค่าเกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอีคอมเมิร์ซ ความต้องการของผู้บริโภคที่อยากได้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่โปร่งใส และความจำเป็นในการต่อสู้กับสินค้าลอกเลียนแบบ ทำให้การติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์กลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันของซัพพลายเชน

Toward Packaging
รายงานของ Toward Packaging ได้คาดการณ์ว่าตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะทั่วโลกจะเติบโตขึ้นอย่างมาก จากมูลค่า 4.365 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 เป็น 7.891 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 6.8% ในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้มาจากการนำเทคโนโลยี IoT และเซ็นเซอร์มาใช้อย่างแพร่หลาย ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในด้านความโปร่งใส การตรวจสอบย้อนกลับ และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ยา ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งการเติบโตของตลาด ในปี 2024 ทวีปอเมริกาเหนือครองส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาคาดการณ์ เมื่อพิจารณาตามประเภทของบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์แบบแอคทีฟ (Active Packaging) เป็นประเภทที่ครองตลาดในปี 2024 และเมื่อพิจารณาตามการใช้งาน อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มที่ใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะมากที่สุดในปีเดียวกัน

Source: The Role of Real-Time Tracking in Shipping and Logistics, ILS; How IoT has Enhanced Supply Chain Visibility, Digital Matter;
หัวใจของระบบนิเวศการติดตามอัจฉริยะคือการทำงานร่วมกันของกลุ่มเทคโนโลยีที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อสร้างการมองเห็นตลอดทั้งกระบวนการ ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีระบุเอกลักษณ์ด้วยคลื่นวิทยุ (RFID) สำหรับการสแกนสินค้าจำนวนมากโดยอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในแนวสายตา และคิวอาร์โค้ด (QR Code) ซึ่งเป็นช่องทางต้นทุนต่ำที่เชื่อมโยงสินค้าเข้ากับข้อมูลดิจิทัลผ่านการสแกนด้วยสมาร์ทโฟน สำหรับการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) จะให้ข้อมูลที่แม่นยำเมื่ออยู่ภายนอกอาคาร ในขณะที่ Wi-Fi, สัญญาณโทรศัพท์ และ Bluetooth Low Energy (BLE) จะช่วยให้การติดตามเป็นไปอย่างต่อเนื่องเมื่ออยู่ในอาคารหรือพื้นที่จำกัด นอกเหนือจากตำแหน่งที่ตั้ง ชุดเซ็นเซอร์ Internet of Things (IoT) ยังทำหน้าที่ตรวจสอบสภาวะของผลิตภัณฑ์ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น การกระแทก และการถูกเปิดทำลาย เพื่อรับประกันคุณภาพและความปลอดภัย พลังที่แท้จริงของระบบนิเวศนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่เกิดจากแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่หลอมรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เหล่านี้ให้กลายเป็นบันทึกดิจิทัลที่สมบูรณ์และมีรายละเอียดของการเดินทางทั้งหมดของสินค้า
ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะนั้นประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ประเภทต่างๆ บรรจุภัณฑ์เชิงรุก (Active packaging) ซึ่งเป็นประเภทที่แพร่หลายที่สุด ช่วยยืดอายุผลิตภัณฑ์ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น ตัวดูดซับออกซิเจน บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Intelligent packaging) ซึ่งเป็นประเภทที่เติบโตเร็วที่สุด ใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจสอบและรายงานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ เช่น อุณหภูมิ ส่วนบรรจุภัณฑ์เชื่อมต่อ (Connected packaging) ใช้เทคโนโลยีอย่างคิวอาร์โค้ดและ NFC เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคเพื่อยืนยันความแท้ของผลิตภัณฑ์และเพื่อการตลาด เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานโดยอาศัยตัวระบุแบบดิจิทัล เซ็นเซอร์ IoT และบล็อกเชนเพื่อบันทึกการเดินทางของผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการนำไปใช้ในวงกว้างคือต้นทุนที่สูง ความซับซ้อนในการผนวกรวมเข้ากับระบบเดิม ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเพิ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ลงในบรรจุภัณฑ์

Source: Smart Packaging Market Size, Share, and Trends 2024 to 2034, Precedence Research
Mordor Intelligence
รายงานของ Mordor Intelligence ระบุว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะของทวีปอเมริกาเหนือ โดยครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 84% ในปี 2024 ความโดดเด่นนี้ได้รับแรงหนุนจากกฎระเบียบของภาครัฐที่เอื้ออำนวยและการให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืน สหรัฐฯ เป็นแนวหน้าในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอาหารและการดูแลสุขภาพ ความต้องการโซลูชันการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งขับเคลื่อนโดยกฎหมายอย่าง “Drug Supply Chain Security Act” กำลังกระตุ้นให้เกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ยา ตลาดยุโรปสำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะนั้นมีความก้าวหน้า ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ตลาดหลักอย่างเยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ต่างมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญในภูมิภาคนี้คือการใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะเพื่อลดขยะอาหาร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการและกฎระเบียบต่างๆ ของสหภาพยุโรป การนำเทคโนโลยีอย่าง RFID, NFC และฉลากอัจฉริยะมาใช้เป็นที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ

Source: Mordor Intelligence
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่คึกคักและเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด ประมาณ 8% นับตั้งแต่ปี 2024 จนถึง 2029 ประกอบด้วยเศรษฐกิจหลักอย่างจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของตลาด ได้รับแรงผลักดันจากการขยายตัวของเมือง การรับรู้ของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ละประเทศในภูมิภาคมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน ทำให้มีอัตราการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่เท่ากัน ภูมิภาคนี้มีความโดดเด่นในด้านบรรจุภัณฑ์แบบแอคทีฟ (active packaging) ฉลากอัจฉริยะ และเทคโนโลยี RFID จีนเป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากตลาดยาขนาดใหญ่และความใส่ใจในความปลอดภัยของอาหารที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะของประเทศได้รับการส่งเสริมจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านโครงการอย่าง ‘Made in China 2025’ ตลาดมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษในด้านบรรจุภัณฑ์ยา โซลูชันเพื่อลดขยะอาหาร และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech