Executive’s Talk

เจาะวิสัยทัศน์ คุณจิระพันธ์ อุลปาทร ในบทบาท “ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น” คนแรก

เจาะวิสัยทัศน์ คุณจิระพันธ์ อุลปาทร ในบทบาท “ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น” คนแรก
Share with

Article by: MEGA Tech Magazine

จากการที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดตั้งสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น (Thai-Japanese Industrial Cooperation Institute: TJIC) เพื่อเน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี นวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร โดยได้แถลงข่าวเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี มีการลงทุนจากบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเจริญของอุตสาหกรรมและการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีอย่างสูง เป็นที่ยอมรับว่าประเทศญี่ปุ่นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ส.อ.ท. จึงเห็นสมควรจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น” ขึ้น  โดยแต่งตั้งให้ คุณจิระพันธ์ อุลปาทร เป็นประธานคณะกรรมการ

นิตยสาร MEGA Tech ได้รับเกียรติครั้งสำคัญในการสัมภาษณ์คุณจิระพันธ์ถึงมุมมองของการนำประสบการณ์อันเปี่ยมล้นด้วยคุณค่าที่ได้สัมผัสและคลุกคลีอย่างใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงและผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นมาเป็นระยะเวลานานกว่า 4 ทศวรรษ หนุนนำมาสู่การได้รับแต่งตั้งเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมประสานภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างกัน นำไปสู่การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยและเครือข่ายทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ

เจาะวิสัยทัศน์ คุณจิระพันธ์ อุลปาทร ในบทบาท “ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น” คนแรก

สัมผัสกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นนานกว่า 40 ปี

ความเข้าใจชาวญี่ปุ่นรอบด้านอย่างถึงแก่นแท้ เริ่มต้นจากการที่คุณจิระพันธ์ได้ใช้ชีวิตไปศึกษาฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงวัยหนุ่ม หลอมรวมกับตลอดระยะเวลาการทำงานก็ได้ร่วมงานหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ กับบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาดำเนินธุรกิจและลงทุนในประเทศไทย ในบทบาทประธานกรรมการ บริษัท เครือสุมิพล จำกัด ประธานกรรมการ สถาบันเทคโนโลยีการผลิตสุมิพล (SIMTec) การเป็นกรรมการสภาสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) ซึ่งคุณจิระพันธ์เป็นผู้ที่อยู่ในรุ่นก่อตั้ง และก็ยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังจวบจนปัจจุบัน

ด้วยมูลเหตุดังกล่าว จึงนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งวิธีคิด วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความต้องการ ระเบียบการทำงาน ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการเกื้อหนุนและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้การปฏิบัติภารกิจในฐานะประธานสถาบันความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นเกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์

แนวทางในการดำเนินภารกิจระดับประเทศ

สำหรับเป้าหมายและกลยุทธ์การดำเนินงาน ในฐานะที่คุณจิระพันธ์ได้รับเกียรติให้เป็นประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีบทบาทและหน้าที่สำคัญระดับประเทศ ในขณะเดียวกันก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการงานต่างประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยควบคู่กันไปด้วย คุณจิระพันธ์ กล่าวว่า ดังที่ทราบดีอยู่แล้วว่า นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนั้นประเทศญี่ปุ่นยังครองตำแหน่งอันดับหนึ่งที่มีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาประเทศไทยมากที่สุดเกือบ 10 ปี ติดต่อกัน (พ.ศ. 2551 – 2560) ที่มีขนาดหลักแสนล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น กระจายอยู่ในภาคการผลิตต่างๆ หลากหลายสาขา ดังนั้น บทบาทหน้าที่สำคัญของการดำรงตำแหน่งประธาน TJIC นี้ คือ ทำหน้าที่ส่งเสริมความร่วมมือในการติดต่อประสานงานส่งเสริมการค้าการลงทุน แลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจร่วมกันกับภาครัฐและหน่วยงานเอกชนของญี่ปุ่น รวมทั้ง ผลักดันประเด็นต่างๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น 

พร้อมทั้งขับเคลื่อนการดำเนินงานของ TJIC เพื่อกำกับดูแลความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ และเป็นการสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเป็นรูปธรรมกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เป็นช่องทางหารือระหว่างภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ และเป็นหนึ่งในกลไกในการยกระดับสู่ไทยแลนด์ 4.0 พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย

โดยที่ภารกิจหนึ่งของ TJIC คือ การเชิญชวนให้เกิดการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  คุณจิระพันธ์ มีมุมมองต่อประเด็นนี้ว่า  EEC นับเป็น Super Mega Project ที่รัฐบาลไทยได้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ และได้มอบสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น EEC จึงเป็นข้อได้เปรียบและเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดึงดูดความสนใจให้ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนกับเรามากขึ้น

วางกลยุทธ์ประสานหลากมิติของแต่ละหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว

คุณจิระพันธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ กับประเทศญี่ปุ่นและนักลงทุนญี่ปุ่นได้พัฒนาในหลากหลายมิติ โดยในส่วนภาคเอกชนได้มีการหารือกับสถาบันธุรกิจชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นทั้ง Japan Business Federation (Keidanren) และ Kansai Economic Federation (Kankeiren) เพื่อแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ ยังได้ร่วมมือกับ Japanese Chamber of Commerce (JCC) ในการนำเสนอข้อคิดเห็นและข้อกังวลต่างๆ ของนักธุรกิจให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับทราบ

TJIC มุ่งหวังที่จะประสานการทำงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างรอบด้านมากขึ้น ด้วยการชักนำผู้ประกอบการญี่ปุ่นเข้ามาเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ซึ่งมีสาขาที่ครอบคลุมมากถึง 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อช่วยกันขับเคลื่อน แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นในมุมมองความต้องการต่าง ๆ ของผู้ประกอบการ โดยที่ทางสภาอุตสาหกรรมฯ ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านนี้ด้วยการก่อตั้ง FTI Academy ขึ้น เพื่อการพัฒนาบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นองค์ความรู้ใหม่ ๆ เช่น ระบบ IoT หรือ Smart Manufacturing เพื่อการพัฒนาที่สอดคล้องกับยุคอุตสาหกรรม 4.0 อีกด้วย

เช่นเดียวกับเรื่องของการพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งทางประเทศญี่ปุ่นมีความชำนาญด้านเทคโนโลยีนี้เป็นพิเศษ สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรซึ่งเป็นฐานรากที่สำคัญของไทย ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้เข้ามาร่วมงานกับสภาฯนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ถ่ายทอดแนวคิด การบริหารจัดการรูปแบบใหม่นำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศไทยต่อไป

แหล่งข่าวและข้อมูลที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น

สำหรับประเด็นที่ว่า ปัจจุบันแหล่งข่าวและแหล่งที่ให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับประเทศญีปุ่นที่ชัดเจนและถูกต้องยังมีข้อจำกัด จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ TJIC ให้ความสำคัญและพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่นี้ในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย

คุณจิระพันธ์ กล่าวว่า “การที่ผมได้ทำงานกับญี่ปุ่นมาอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผมมีโอกาสพบปะกับผู้บริหารระดับสูงของญี่ปุ่นตลอดเวลา ซึ่งก็ได้รับทราบข้อเท็จจริงในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวคิดและทัศนคติต่อการลงทุนในประเทศไทย ผมตั้งใจว่าจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงมานำเสนอให้กับสังคมอย่างถูกต้องมากขึ้น เพราะขณะนี้มีข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่มักคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง บางอย่างก็เป็นข้อมูลที่ไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริงบ้าง ทำให้ไทยเสียโอกาสในการลงทุน จึงคิดว่าเป็นความจำเป็นในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย”ปัจจุบันคุณจิระพันธ์มีงานประจำที่บริษัท สุมิพล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้งมานานกว่า 30 ปีแล้ว รวมถึงบริษัทในเครือและสถาบันเทคโนโลยีการผลิตสุมิพล พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งกรรมการสภาสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งภารกิจต่าง ๆ ล้วนเป็นงานที่ต้องให้เวลาในการบริหารจัดการและดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ต่อเรื่องนี้ คุณจิระพันธ์ ทิ้งท้ายว่า “ในส่วนของธุรกิจที่ผมมีเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งขณะนี้ก็ได้เข้ามาสานต่อการทำงานอย่างเต็มตัวแล้ว เชื่อมั่นว่าจะสามารถรับภาระหน้าที่ต่อให้ไปสู่ทิศทางที่วางไว้ ผมพยายามที่จะลดงานประจำลงมาเรื่อยๆ และหันกลับมาให้ความสำคัญพร้อมทั้งมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนสิ่งที่ผมได้รับและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตลอดมา รวมถึงการมีส่วนช่วยขับเคลื่อนทุกองคาพยพในการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยภาพรวมของประเทศไทย”