บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค คำว่า “อัจฉริยะ” หมายถึงการพัฒนาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคบรรจุภัณฑ์ทำให้เกิดประโยชน์ใช้สอยแก่ผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้เข้าถึงและการติดตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องง่ายขึ้น การติดตามและแบ่งปันข้อมูลที่สะดวกขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจและสินค้าที่ตนเองซื้อและใช้งานได้ดีขึ้น จากมุมมองทางการค้า อาจกล่าวได้ว่าบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะสามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ที่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป็นรายมีเอกลักษณ์ และเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้นสำหรับ เสริมสร้างให้ลูกค้าเกิดปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์
ตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะมีมูลค่าประมาณ 22.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตถึง 31.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2029 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 7.12% ในช่วงระยะเวลาการคาดการณ์ (2024-2029) บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะหมายถึงระบบบรรจุภัณฑ์ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ ใช้สำหรับสินค้าประเภทต่างๆ รวมถึงอาหารและยา เทคโนโลยีที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ อายุการเก็บรักษา การตรวจสอบความสดใหม่ และความปลอดภัยของลูกค้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ที่ห่อหุ้มด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะจะมีความสามารถในการให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพและความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค
เมื่ออิงตามเทคโนโลยีตลาดบรรจุภัณฑ์แบ่งออกเป็น บรรจุภัณฑ์แบบแอ็คทีฟ และ บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ กลุ่มบรรจุภัณฑ์แบบแอ็คทีฟครองตลาดและคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 13,020 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2032 โซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมซึ่งโต้ตอบกับผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อเพิ่มอายุการเก็บรักษาคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยฟังก์ชันดังกล่าวนี้ จึงเรียกกันว่า “บรรจุภัณฑ์แบบแอ็คทีฟ” ซึ่งมักประกอบด้วยส่วนประกอบหรือเทคโนโลยี เช่น ตัวดูดซับความชื้น เซ็นเซอร์อุณหภูมิ สารต่อต้านแบคทีเรีย และตัวกำจัดออกซิเจน บรรจุภัณฑ์แบบแอ็คทีฟควบคุมตัวแปรต่างๆ เช่น ระดับออกซิเจนและปริมาณความชื้นเพื่อรักษาความสดใหม่ หยุดการเน่าเสีย และปรับปรุงความปลอดภัย ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน และตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น
เมื่ออิงจากวัสดุบรรจุภัณฑ์ ตลาดบรรจุภัณฑ์แบ่งออกเป็นพลาสติก กระดาษและกระดาษแข็ง แก้ว โลหะ และวัสดุที่ย่อยสลายได้ กลุ่มวัสดุที่ย่อยสลายได้เป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุด โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) มากกว่า 8% ระหว่างปี 2024 ถึง 2032 วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้จะสลายตัวตามธรรมชาติในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พอลิเมอร์ที่ย่อยสลายได้ซึ่งทำจากทรัพยากรหมุนเวียน เช่น เซลลูโลส อ้อย และแป้งข้าวโพด บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ส่งเสริมแนวทางความยั่งยืน โดยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์และจำกัดขยะฝังกลบ การใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ในการบรรจุภัณฑ์สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและหน่วยงานกำกับดูแลที่เพิ่มมากขึ้น ตอบโจทย์บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและนิสัยการบริโภคอย่างมีจิตสำนึกในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร และยา
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งรายได้ตลาดสูงสุดที่ 33% ในปี 2022 การเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขับเคลื่อนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมการผลิตในเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานและการบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นแรงผลักดันการเติบโตของตลาดโลก แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการบริโภคอาหารบรรจุหีบห่ออาหารสดยังผลักดันการเติบโตของตลาด การนำสมาร์ทโฟนมาใช้มากขึ้นและการเกิดขึ้นของช่องทางการซื้อของออนไลน์เป็นแรงผลักดันความต้องการบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ
คาดว่าอเมริกาเหนือจะเติบโตที่ CAGR ที่เร็วที่สุดในช่วงคาดการณ์เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปและความต้องการอาหารบรรจุหีบห่อที่เพิ่มขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร เบลเยียม ฝรั่งเศส และเยอรมนี นอกจากนี้ การปรากฏตัวของผู้เล่นหลักในตลาดบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ เช่น International Paper Co., Berry Global Group Inc. และ Crown Holdings Inc. ซึ่งต่างก็งผลักดันการเติบโตของตลาด
Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech