ปัจจุบัน ภาคการผลิตกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างสูงให้เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ปรับปรุงคุณภาพ และอื่น ๆ
การผลิตแบบเดิมใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์น้อยมาก ในทางกลับกันการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากเครื่องจักรและสายการผลิต เพื่อวิเคราะห์และปรับกระบวนการผลิตให้เหมาะสม ทำให้การตัดสินใจอย่างมีข้อมูลโดยอิงจากข้อเท็จจริงมากกว่าจะใช้ประสบการณ์หรือสัญชาตญาณ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงการดำเนินงานตามเป้าหมาย
การผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลคืออะไร
การผลิตสมัยใหม่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเพราะนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น และเทคโนโลยีเก่าหายไปเร็วกว่าเดิม แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลช่วยให้ผู้ผลิตรวบรวม และแยกข้อมูลที่สำคัญออกมาได้ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่แม่นยำและทันสถานการณ์
การผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นอาศัยสามองค์ประกอบหลักดังต่อไปนี้:
การรวบรวมข้อมูล: เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลจากทุกพื้นที่ของการผลิต ซึ่งรวมถึงข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในเครื่องจักร บันทึกจากสายการผลิต การเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรม (ECN) และข้อมูลภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงสเปกของวัตถุดิบ เนื่องจากมีข้อมูลจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า “บิ๊กดาต้า” จึงจำเป็นต้องมีระบบจัดการที่แข็งแกร่งเพื่อรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล
การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์: ผู้ผลิตต้องการการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อแยกย่อยและทำความเข้าใจข้อมูลที่สร้างขึ้นนี้ ซึ่งช่วยให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกว่าการผลิตจะดำเนินไปได้ดีเพียงใด ด้วยวิธีนี้ ผู้ผลิตจึงสามารถทำการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และหยุดปัญหาได้ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์ (AI):
AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ลึกยิ่งขึ้น โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งเพื่อตรวจสอบชุดข้อมูลขนาดใหญ่ AI สามารถค้นหารูปแบบและทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ GenAI ทำให้วิศวกรสามารถพูดคุยกับบิ๊กดาต้าได้ด้วยเทคโนโลยี ChatBot ทำให้วิศวกรแสวงหาความรู้ต่าง ๆ มาประกอบการวิเคราะห์
ประโยชน์ของการนำแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้
เมื่อผู้ผลิตใช้ข้อมูลมากขึ้นก็มีความสามารถการแข่งขันสูงขึ้น ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจับตาดูประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในสายการผลิตได้อย่างใกล้ชิด ประโยชน์ของการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ ได้แก่:
การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์:
การวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแสดงได้ว่าเครื่องจักรอาจขัดข้องเมื่อใด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถดำเนินการบำรุงรักษาได้ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดเวลาหยุดทำงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง แทนการแก้ไขปัญหาหลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร
การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน:
การดูข้อมูลสามารถเผยให้เห็นความล่าช้าและปัญหาในเวิร์คโฟลว์ โรงงานจึงสามารถออกแบบโปรแกรมการฝึกอบรมเฉพาะเพื่อให้พนักงานส่วนนั้นได้รับทักษะที่จำเป็น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นและข้อผิดพลาดลดลง
การลดของเสีย:
ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้วัสดุวัตถุดิบ จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่อง สามารถแสดงขั้นตอนการผลิตที่สามารถปรับปรุงได้ ซึ่งจะช่วยลดของเสียและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าขึ้น

เริ่มต้นระบบการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างไร
การประยุกต์ใช้ระบบการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในคราวเดียว แต่ควรเริ่มอย่างช้า ๆ แต่สม่ำเสมอ ต่อไปนี้คือขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการเริ่มต้น:
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล:
คือการสร้างระบบที่แข็งแกร่งสำหรับการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล สำรวจหาแหล่งข้อมูลจากไลน์ผลิตที่มีความสำคัญในกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นข้อมูลเซ็นเซอร์จากเครื่องจักร บันทึกการผลิต บันทึกฝ่าย QC และแม้แต่ปัจจัยภายนอก เช่น ECN หรือการเปลี่ยนแปลงวัสดุ
จากนั้นต้องหาวิธีในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ซึ่งอาจหมายถึงการซื้อฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์สำหรับรวบรวมข้อมูล เมื่อมีข้อมูลแล้ว ให้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อค้นหารูปแบบและแนวโน้ม ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการผลิตได้ดีขึ้นมาก
ระบุคอขวดและพื้นที่สำหรับการปรับปรุง:
เมื่อมีข้อมูลเข้ามา สิ่งสำคัญคือต้องหาพื้นที่ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน โดยเน้นจุดในกระบวนการผลิตที่เป็นคอขวด ที่ทำให้การผลิตช้าลงหรือส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตสามารถสร้างแดชบอร์ดโดยใช้เครื่องมือที่แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก (KPI) ของขั้นตอนการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เห็นว่าต้องปรับปรุงสิ่งไหน เช่น การทำให้เครื่องจักรทำงานได้ดีขึ้น เร่งการไหลของวัสดุ หรือปรับปรุงการสื่อสารระหว่างหน่วยผลิตต่าง ๆ
ผนวกเครื่องมือ BI และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน:
การผนวกเครื่องมือ Business intelligence ที่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติ เลือก BI ที่เหมาะกับความต้องการด้านการผลิตและงบประมาณ หาแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การแสดงภาพข้อมูล การรายงาน และการวิเคราะห์ขั้นสูงมาช่วย เช่น การสร้างแบบจำลองเชิงพยากรณ์ตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง: การผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้ไม่ใช่งานที่จัดทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การจัดทำระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพจะช่วยติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่สำคัญ (KPI) และวัดผลว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ผลดีเพียงใด

สรุป
เมื่อผู้ผลิตใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้เต็มที่ก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งแม้แต่สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติอเมริกา (NIST) ยังให้ความสำคัญ จึงสามารถกล่าวได้ว่าการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นเป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริงสำหรับผู้ผลิต

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech