คาดการณ์ว่าตลาดการผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์จะมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 7.1% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2029 โดยการเติบโตดังกล่าวนี้เกิดจากแนวโน้มหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในการย่อส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีขนาดเล็กลง การบูรณาการเทคโนโลยีเกิดใหม่ในอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมของ Things (IIoT) และความก้าวหน้าทางการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี 5G ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่การปฏิวัติการออกแบบและการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การใช้สมาร์ทโฟนไปใช้อย่างกว้างขวางอันเกิดจากความพร้อมการให้บริการคลื่นสัญญาณ 5G และความต้องการทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจที่เข้าร่วมลงเล่นในตลาด ตัวอย่างเช่น ในตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ไร้สายทั้งหมด คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2021 เป็น 84% ภายในปี 2525 การเติบโตนี้แสดงถึงศักยภาพการเติบโตอย่างมหาศาลของส่วนการตลาดดังกล่าว
ปัจจัยต่างๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น การจ่ายเงินปันผลทางประชากรที่ลดลงของจีน ต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น การยกระดับอุตสาหกรรม และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งอิทธิพลให้บริษัทต่างจากประเทศต่างตัดสินใจทะยอยเปลี่ยนฐานกำลังการผลิตในจีน ไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ในบรรดาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซัมซุงนั้บถือได้ว่าเป็นผู้นำและมีอิทธิพลอย่างมากในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในนั้นคือการลงทุนของ Samsung Group ในเวียดนามมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้กลายเป็นฐานการผลิตของที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Samsung ที่ถูกส่งไปขายทั่วโลกนั้นมาจากฐานการผลิตในเวียดนามนี้เอง
ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับความสนใจอย่างสูงจากบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังปรากฎการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปี 2018 ตัวอย่างเช่น บริษัท Apple ได้ขยายฐานการผลิตในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนโรงงานในเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทยรวมกันเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจาก 62 แห่ง เป็น 97 แห่ง การขยายตัวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการกระจายกำลังผลิตไปในภูมิภาคหลากหลายประเทศ นอกจากนี้ ปรากฎการณ์การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรวัยหนุ่มสาวในอินเดีย ที่เรียกกันว่า “โอกาสทองด้านประชากร” (demographic dividend) ได้ทำให้อินเดียกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับ Apple ดูได้จากการเพิ่มขึ้นของโรงงานการผลิตในอินเดียจากเดิม 7 แห่ง เป็น 11 แห่ง ทำให้มีกำลังการผลิต iPhone สูงมาก ซึ่งมีจำนวนถึง 6.5 ล้านเครื่องในปี 2022 และคาดการณ์ว่าอินเดียอาจมีสัดส่วนการผลิต iPhone ของ Apple ทั่วโลกมากถึง 25% ภายในปี 2025
แนวโน้มดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมที่ไปไกลกว่าสมาร์ทโฟน โดยผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ต่างก็กำลังสร้างฐานที่มั่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น Tesla ที่ได้สู่ตลาดสิงคโปร์และไทย และยังมีรายงานว่ากำลังจะเกิดข้อตกลงระหว่าง Tesla และรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิต 1,000,000 หน่วยต่อปีในทำนองเดียวกัน BYD ยืนยันแผนการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยและเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2024 ด้วยกำลังการผลิต 150,000 หน่วยต่อปี การหลั่งไหลเข้ามาของแบรนด์ผู้ผลิตระดับโลกเหล่านี้ บ่งชี้ถึงความสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิทัศน์การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก ด้วยภูมิภาคนี้มีโครงสร้างประชากรที่เอื้ออำนวย แรงงานที่มีทักษะ และทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ จึงดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายประเภท
แล้วอะไรที่ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนมีความพิเศษ เส้นทางของกลุ่มประเทศอาเซียนที่เปิดรับการลงทุนทางอุตสาหกรรมนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 ระดับ โดยที่ระดับที่ที่ 1 คือสิงคโปร์ทำหน้าที่เป็นโหนดเทคโนโลยี ระดับที่ 2 คือกลุ่มประเทศอาเซียน 4 (มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) ซึ่งยังถือว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ซึ่งแต่ละประเทศในกลุ่มนี้มีความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่างหลากหลาย ระดับที่ 3 คือ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับความสนใจอย่างสูงจากบริษัทที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิตเป็น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการกระจายตัวของผู้เล่นหลากหลายประเทศ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อมโยงอย่างดีในเครือข่ายระดับโลกและภูมิภาค อาเซียนจึงกลายเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน โดยคิดเป็น 29% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียนในปี 2022 โดยแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีสัดส่วนส่งออกอยู่ระหว่าง 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรมนี้จึงเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยมีส่วนช่วยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของภูมิภาค ประมาณ 268 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 8.5% ของ GDP) และสร้างงานได้มากกว่า 2.4 ล้านตำแหน่งในปี 2021
การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันเกิดจากปัจจัยสองประการ ประการแรกคือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีและอุปสรรคทางการค้าอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ประการที่สองคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในจีน บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (MNEs) จึงมองหาประเทศสมาชิกอาเซียนที่แตกต่างกันเพื่อกระจายความได้เปรียบทางการแข่งขันของตนเองอย่างกว้างขวาง เพื่อรับมือกับการแยกตัวด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี บริษัทชิปได้เพิ่มการลงทุนในกลุ่มประเทศสิงคโปร์-มาเลเซีย-อินโดนีเซียเสียเป็นส่วนใหญ่ในช่วงที่เกิดปัญหาขาดแคลนชิปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Global Foundries และ Micron บริษัท Infineon และ Siltronic จากเยอรมนี และบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ได้ขยายกิจการอย่างรวดเร็วและขยายกำลับการผลิตไปยังประเทศกลุ่มดังกล่าว ในทางกลับกัน บริษัทชั้นนำอื่น ๆ ได้ย้ายกำลังการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เพื่อลดต้นทุนการผลิต ตัวอย่างเช่น บริษัท Foxconn จากไต้หวันและบริษัท CoreTek จากจีน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ให้กับ Apple ก็ได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนามแล้วเช่นกัน
Article by: Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech