Manufacturing Trends

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย
Share with

รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนที่จะเริ่มใช้ภาษีคาร์บอนภายในปี 2025 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สองในอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ที่นำมาตรการนี้มาใช้ โดยภาษีคาร์บอนจะกำหนดอัตราไว้ที่ 200 บาท (5.88 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อการปล่อยคาร์บอน 1 เมตริกตัน มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติที่ยั่งยืนและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาษีนี้ จะเริ่มใช้กับผลิตภัณฑ์น้ำมันก่อน และจะถูกรวมเข้ากับระบบภาษีน้ำมันในปัจจุบัน

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสมดุลโดยไม่เพิ่มรายได้เพิ่มเติมจากภาษี กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของราคาขายน้ำมันปลีก พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติโครงสร้างภาษีนี้โดยระบุถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยไม่เพิ่มต้นทุนให้กับภาคอุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำว่าการปรับโครงสร้างนี้ได้รวมการกำหนดราคาคาร์บอนเข้ากับภาษีน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันและสินค้าในระดับค้าปลีก

รายงานล่าสุดจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เกี่ยวกับระบบนิเวศยานยนต์ปล่อยมลพิษต่ำของประเทศไทย อธิบายระบบ EV ของประเทศผ่านแผนภาพวงกลมที่เข้าใจง่าย ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วน แหวน จุด และเส้น แต่ละส่วนแสดงถึง 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่:

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และเทคโนโลยียานยนต์
  • ระบบพลังงานสำหรับการขนส่งทางถนน
  • นโยบายสภาพภูมิอากาศและกลไกเครดิตคาร์บอน

แหวน 3 วงซ้อนทับส่วนเหล่านี้:

  • แหวนในสุดแสดงถึงการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก
  • แหวนกลางแสดงถึงห่วงโซ่คุณค่าและโครงสร้างพื้นฐาน
  • แหวนนอกสุดแสดงถึงนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี EV

จุดภายในวงกลมแสดงถึงหัวข้อสำคัญ และเส้นแสดงการเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อที่เกี่ยวข้องในแต่ละส่วน

ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 อุตสาหกรรมยานยนต์ได้เป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมีคิดเป็น 18% ของ GDP โดยประมาณ  ในปี 2021 ตามข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ระหว่างปี 2010 ถึง 2023 จำนวนยานพาหนะประเภทเบาและหนักเพิ่มขึ้นจาก 10.8 ล้านคัน เป็น 20.8 ล้านคันโดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.8% ขณะเดียวกัน จำนวนรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจาก 17.3 ล้านคันในปี 2010 เป็น 22.7 ล้านคัน

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย

ในปี 2023 เติบโตเฉลี่ยปีละ 2% ในปี 2023 รถจักรยานยนต์ครองส่วนแบ่งมากที่สุดในภาคยานยนต์ที่ 53% รองลงมาคือรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ 27% และรถเพื่อการพาณิชย์ที่ 20% สถาบันวิจัยพลังงานแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) คาดการณ์ว่าสต็อกยานพาหนะรวมทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 49 ล้านคันภายในปี 2030

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย
Number of vehicle sales in Thailand 2010 – 2023
Source: Department of Land Transport (2024), UNDP

ภาคการขนส่งกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรม โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากแนวโน้มโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โอกาสทางการตลาด และแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยเหล่านี้ได้นำไปสู่เป้าหมายนโยบายสำคัญ เช่น การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 และเป้าหมาย Nationally Determined Contributions (NDCs) ในภาคการขนส่ง หนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลคือ “30@30” ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ 30% ของการผลิตยานพาหนะเป็นยานยนต์ปลอดมลพิษภายในปี 2030

โดยนโยบายนี้มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ขั้นสูง โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลได้ออกมาตรการส่งเสริมหลายด้าน เช่น การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับ EV การรณรงค์ใช้ EV ในประเทศ และการสนับสนุนเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อ EV นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ทดสอบยานยนต์ เครือข่ายสถานีชาร์จทั่วประเทศ และโครงการทดลองใช้ไฮโดรเจนเพื่อทดสอบศักยภาพของไฮโดรเจนในฐานะเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภาคการขนส่งทางถนนของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ จำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และการขายตัวของชุมชนเมืองเมือง ในปี 2022 การขนส่งทางถนนใช้พลังงานเทียบเท่าน้ำมัน (ktoe) ถึง 26,336 กิโลตัน คิดเป็นเกือบ 85% ของความต้องการพลังงานในภาคการขนส่งของประเทศ และเกือบ 40% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย โดยในปี 2021 การใช้ไฟฟ้าสำหรับการขนส่งทางถนนอยู่ที่ 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) และเพิ่มขึ้นเป็น 15 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2022 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวรวมถึงไฟฟ้าที่ใช้โดยรถไฟฟ้าสาธารณะและ EV สถาบันวิจัยพลังงาน (ERI) คาดการณ์ว่าความต้องการไฟฟ้าสำหรับการขนส่งทางถนนจะเพิ่มขึ้นเป็น 17,775 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 เนื่องจากนโยบาย 30@30 ทั้งนี้ห่วงโซ่คุณค่าพลังงานในภาคการขนส่งทางถนนนั้นมีหลายเฟส ตั้งแต่การสกัดพลังงานขั้นต้นไปจนถึงการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายในยานพาหนะ ซึ่งส่วนใหญ่ในรูปแบบของก๊าซ เชื้อเพลิงทั่วไป เชื้อเพลิงชีวภาพ และไฟฟ้า โดยคาดว่าไฮโดรเจนจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต

ประเทศไทยเป็นสมาชิกของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ตั้งแต่ปี 1994 และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เกินเป้าหมายในปี 2020 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2030 (เทียบเท่าปริมาณ CO2 จำนวน 216 เมตริกตัน) ในหลายภาคส่วน เช่น พลังงาน การขนส่ง และเกษตรกรรม สำหรับภาคการขนส่ง สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย

จำนวน 45.5 เมตริกตัน ด้วยการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเชื้อเพลิงทางเลือก แผน NDC ของประเทศไทยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบขนส่ง การขนส่งสินค้าแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ T-VER ที่เริ่มในปี 2012 มีโครงการมากกว่า 380 โครงการ โดยมี 34 โครงการที่ได้รับการรับรอง ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 จำนวน 76 เมตริกตัน ในจำนวนนี้มีโครงการด้านการขนส่ง 6 โครงการ (ส่วนใหญ่เกี่ยวกับ EV) ที่คาดว่าจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 จำนวน 2,859 เมตริกตัน ประเทศไทยยังร่วมมือกับญี่ปุ่นภายใต้โครงการ JCM โดยมี 49 โครงการที่คาดว่าจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 จำนวน 262,357 เมตริกตัน นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ข้อ 6 ของความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยมีโครงการ EV แรกที่ร่วมมือกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะนำรถบัสไฟฟ้า 2,000 คันมาใช้ในกรุงเทพฯ

ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 จำนวน 500,000 เมตริกตัน พร้อมทั้งช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองให้ดียิ่งขี้น

สมรภูมิการแข่งขันเพื่อการปล่อยคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย
Project registrations to T-VER and expected carbon credits
Source: The Thailand Greenhouse Gas Management Organization (2024), UNDP

Article by: Asst. Prof. Suwan Juntiwasarakij, Ph.D., Senior Editor & MEGA Tech Facebook Twitter Pinterest